Admin 24 ม.ค. 2560

พบแล้ว! ต้นตอทำน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดในยาง จ.ภูเก็ต

560000000826601

พบแล้ว! ตัวการสำคัญทำน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดในยาง ที่แท้เกิดจากน้ำจืดไหลลงทะเล 5 ปี รุกคืบกว่า 10-25 เมตร ทำต้นสนขนาดใหญ่หักโค่นจำนวนมาก ขณะที่แนวทางแก้ไขสามารถทำได้แต่ยังไม่เกิด เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเผยการทำแนวกันคลื่นไม่ช่วยลดความเสียหาย แต่กลับไปเพิ่มความรุนแรง

560000000826602

วันที่ 24 ม.ค. 2560 นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าวถึงผลการศึกษาเพื่อหาสาเหตุของปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดในยาง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต หลังพบว่าบริเวณหาดในยางตลอดแนวไปจนถึงหาดทรายแก้ว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ให้ผู้เข้าอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเลระดับต้น ซึ่งส่วนจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล สำนักอุทยานแห่งชาติ จัดขึ้นที่ห้องประชุม สถาบันประชารัฐพิทักษ์ทะเล อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต โดยมี นายณัฐพล รัตนพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล เป็นประธานเปิดการอบรมว่า

560000000826603

จากการศึกษาเพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะบริเวณชายหาดในยางตลอดแนวไปจนถึงบริเวณหาดทรายแก้ว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พบว่า สาเหตุเกิดจากแนวปะการังที่ช่วยชะลอความแรงของน้ำทะเลตาย และเสื่อมโทรมลง ซึ่งแนวปะการังถือเป็นเกราะที่สำคัญอย่างหนึ่งในการในการป้องกันปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาด เมื่อไม่มีแนวปะการัง ความแรงของน้ำก็โถมเข้าใส่ชายหาดอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้มีการกัดเซาะชายหาดเกิดขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าบริเวณชายหาดในยาง มีการกัดเซาะมาอย่างต่อเนื่อง

560000000826604

และสาเหตุที่ทำให้แนวปะการังตายบริเวณหาดในยาง พบว่า เกิดจากการเปลี่ยนทิศทางของน้ำจืดที่ไหลลงทะเล ซึ่งเดิมน้ำจะไหลลงทะเลที่บริเวณคลองคลองพม่า ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่ไม่มีปะการัง แต่มาระยะหลังน้ำได้เปลี่ยนเส้นทางมาไหลลงคลองที่บริเวณทางเข้าอุทยาน เนื่องจากมีการก่อสร้าง และมีการถมพรุต่างๆ ทำให้น้ำฝน หรือน้ำจากส่วนอื่นไหลลงทะเลโดยตรง เมื่อน้ำจืดไหลลงทะเลในปริมาณมากส่งผลให้ปะการังตาย เพราะฉะนั้น ในการแก้ไขปัญหาในจุดนี้สามารถทำได้ 2 แนวทาง คือ การเปลี่ยนทิศทางไหลลงทะเลของน้ำให้กลับไปไหลลงในทิศทางเดิมที่ไม่มีแนวปะการัง และการต่อท่อให้น้ำจืดไหลลงท่อไปปล่อยในทะเลลึก ซึ่งจะทำให้น้ำจืดไม่รบกวนแนวปะการังน้ำตื้น โดยทั้ง 2 แนวทางจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวของในการดำเนินการ

560000000826605

นายศักดิ์อนันต์ ยังได้กล่าวต่อไปว่า ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ยังมีปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดอีกหลายแห่ง โดยจุดที่น่าเป็นห่วงอีกจุดคือ ที่บริเวณหาดราไวย์ ที่ปัจจุบันพบว่ามีความรุนแรงมาก ส่วนการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะชายหาดโดยการทำแนวกั้นนั้นพบว่า ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา แต่กลับไปเพิ่มความรุนแรงของการกัดเซาะมากขึ้น โดยทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนทิศทางไปกัดเซาะบริเวณใกล้เคียง และเป็นการกัดเซาะที่รุนแรงกว่าเดิมมาก จึงคิดว่าการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายทะเลในแต่ละจุดนั้นจะต้องศึกษาหาสาเหตุที่แท้จริง และหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้ตรงจุดต่อไป

560000000826606

ขณะที่ นายณัฐพล รัตนพันธ์ ผอ.ส่วนจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะชายหาดบริเวณหาดในยาง ว่า จากการศึกษาทำให้ทราบถึงสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งในการแก้ไขปัญหาขณะนี้ทางอุทยานไม่สามารถทำด้วยตัวเองเพียงหน่วยเดียวได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากท้องถิ่น รวมทั้งจังหวัด และระดับประเทศ เพราะปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาระดับชาติที่จะต้องช่วยกันดูแล ซึ่งนอกจากเรื่องของการกัดเซาะชายหาดแล้ว ทางกรมยังให้ความสำคัญในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติด้วยที่จะต้องมาช่วยกันดูแล การก่อสร้างลงไปในทะเลล้วนส่งผลกระทบโดยตรง เช่น โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการโครงการสร้างท่าเที่ยวเรือบริเวณหาดในยาง เพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวขึ้นเครื่อง-ลงเครื่องนั้นไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้เกิดปัญหาทางธรรมชาติเกิดขึ้นอีกมากมาย

560000000826607

ขณะที่ นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่ 2 จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ได้มีการศึกษากรณีน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดมาระยะหนึ่งแล้ว จากการศึกษาภาพถ่ายทางดาวเทียม พบว่า ในปี 2556-2557 การกัดเซาะชายหาดมีความรุนแรงมาก รวมแล้วมีการกัดเซาะไปไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ต้นสนขนาดใหญ่ล้มตายจำนวนมาก และที่มีการกัดเซาะรุนแรงที่สุดคือ ที่บริเวณหาดทรายแล้วมีการกัดเซาะเข้ามาประมาณ 25 เมตร ซึ่งการแก้ไขปัญหาคงจะต้องร่วมมือกับหลายฝ่ายในการดำเนินแต่ก็ต้องใช้เวลา และที่สำคัญจะต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าของพื้นที่ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชนในการดำเนินการ

ที่มา : http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9600000007901